เราควรมีบ้านตอนอายุเท่าไหร่

เรามักรู้กันดีอยู่แล้วว่าทุกคนจะต้องมีบ้านแต่ความเชื่อเหล่านี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดเพราะว่าการมีบ้านนั้นมันต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบหลายอย่างไม่จำเป็นว่าทุกคนจะต้องมีบ้านเสมอไปคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการอยากมีบ้านคุณลองมององค์ประกอบต่างๆเหล่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจง่ายยิ่งขึ้นหรือสำหรับใครที่ยังไม่คิดจะซื้อบ้านก็ลองเอาบทความเหล่านี้ไปตัดสินดูว่าจริงๆแล้วคุณควรมีบ้านหรือไม่

บ้านถือได้ว่าเป็นหนี้ระยะยาวซึ่งองค์ประกอบต่างๆจะรวมไปด้วยดอกเบี้ยการผ่อนชำระถึงแม้ว่ามันเป็นทรัพย์สินของตัวคุณเองก็ตามแต่คุณจำเป็นที่จะต้องมีวินัยในการส่งบ้านเหล่านั้นเพราะใช้ระยะเวลาประมาณ 30 ปีด้วยกันนั่นเท่ากับว่าบางคนถือว่าเป็นระยะเวลายาวนานเลยนะ

องค์ประกอบในการตัดสินใจที่จะซื้อบ้านควรประกอบไปด้วย

1.การใช้เวลาในการผ่อน

เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าบ้านจะต้องใช้ระยะเวลาในการผ่อนที่ค่อนข้างยาวนานบางคน 20 ปีหรือบางคน 30 ปีขึ้นอยู่กับระยะเวลาของผู้กู้ณตอนนั้นและจำนวนเงินในการกู้ด้วย องค์ประกอบต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญในการกู้ซื้อบ้านด้วยกันทั้งสิ้น

เพราะคุณต้องมานั่งคำนวณว่าคุณจะต้องส่งอย่างนี้ทุกทุกเดือนเป็นระยะเวลา 20 ถึง 30 ปีคุณจะไหวหรือไม่แล้วถ้าหากคุณต้องการโปะให้มันระยะเวลาในการผ่อนที่เร็วขึ้นคุณจะต้องใช้เงินมาโปะเท่าไหร่

 

2.ผ่อนหมดมีบ้านเป็นของตัวเอง

นี่เป็นแรงจูงใจแบบนึงในการซื้อบ้านเพราะว่าถ้าเกิดคุณซื้อบ้านคุณก็จะได้บ้านเป็นของตัวเองแต่นั่นต้องมองด้วยว่าบ้านหลังนั้นสำคัญกับคุณไหมถ้าหากคุณจำเป็นที่จะต้องเช่าบ้านแล้วจ่ายค่าเช่าเรื่อยเรื่อยการซื้อบ้านก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเพราะว่าเท่ากับว่าคุณได้ส่งเท่ากับช่าบ้านหลังหนึ่งเหมือนกัน

แต่ถ้าหากว่าคุณไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อบ้านหรือไม่ได้เช่าบ้านอยู่อาจจะลองมองดูสักนิดว่าการซื้อบ้านนี้เผื่อประโยชน์อะไรถ้าหากเป็นของตัวเองหรือเอาไปเก่งกำไรก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย

 

3.การซื้อบ้านทำให้คุณมีวินัยมากยิ่งขึ้น

แน่นอนอยู่แล้วว่าการซื้อบ้านเพิ่มวินัยให้เกียรติคุณมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่ต้องการเงินเก็บในทุกๆเดือนจะแปลออกมาเป็นทรัพย์สินดังนั้นการส่งบ้านในทุกๆเดือนของคุณมันจะเป็นการสร้างวินัยอย่างนึงให้แก่คุณ ผลตอบแทนเมื่อถึงระยะเวลาคุณก็จะได้บ้านหลังหนึ่งมาด้วยเช่นกัน

การสร้างวินัยนี้เป็นการสร้างวินัยระยะยาวซึ่งมันจะทำให้คุณมีวินัยต่อๆไปได้จริงเพราะว่าการมีวินัยส่งในทุกๆเดือน เป็นวินัยในการเก็บเงินอย่างหนึ่ง และวินัยอื่นๆของคุณก็จะตามมาด้วยเช่นกัน

 

สนับสนุนโดย    Ufabet เข้าสู่ระบบ

เปลี่ยนความคิดติดลบ ให้เป็นบวก เปลี่ยนให้คุณเป็นคนใหม่คิดบวกขึ้น

เรามักจะมีวิธีคิดที่ติดลบในสถานการณ์ที่เรามักจะเจอในทุกวัน โดยความติดลบนี้จะสะสมทำให้เรารู้สึกเครียด แย่กับตัวเอง และคนอื่นๆ การที่เราเจออะไรแย่ๆมา แล้วเจอคนทำอะไรแย่ๆใส่ ก็อาจจะทำให้เรานั้นคิดลบได้เร็วขึ้น ทำให้เราจมดิ่งลงไปลึกๆในความรู้สึก

ถ้าหากคุณเป็นคนที่คิดติดลบเช่นนี้ วันนี้เรามีวิธีที่จะเปลี่ยนความรู้สึกติดลบให้เป็นบวก นั้นจะทำให้คุณเปลี่ยนเป็นคนใหม่ได้ไม่ยาก เราลองไปดูกันว่าคุณจะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่ จะกลายมาเป็นคนคิดบวกได้ไหม

 

1.ตั้งสติ

เมื่อไหร่ที่คุณเริ่มรู้สึกติดลบกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราขอแนะนำให้ตั้งสติให้มากๆ ลดความรู้สึกเหล่านั้นลง อาจจะทำไม่ได้ทันที ถ้าคุณโกรธอยู่ก็ลองหาอะไรทำให้ลืม หรือดื่มน้ำให้ใจเย็นลง แล้วสติจะเริ่มมาเอง จากนั้นก็จะรู้สาเหตุหรือสิ่งที่ทำให้คุณหงุดหงิดและคุณจะใจเย็นลง

แล้วจะส่งผลให้คุณคิดบวกขึ้นมาได้ ลองตั้งสติกับทุกเรื่องที่เจอดู หากครั้งแรกๆยังทำไม่ได้  gclub สล็อตฟรี   ก็ลองค่อยๆทำไปเรื่อยๆ ใจเย็นๆ ไม่มีใครที่จะทำได้ทันทีมันจะต้องใช้การฝึกฝนดู เมื่อทำได้แล้วครั้งต่อๆไปก็จะมีสติและใจเย็นคิดบวกได้เอง

2.ลองหายใจลึกๆดู

เวลาที่เราทำสมาธิด้วยการหายใจลึกๆ ฝึกหายใจจะช่วยในเรื่องของการผ่อนคลาย ได้ดีมากยิ่งขึ้น การหายใจสูดหายใจเข้าอย่างแรงและออกแรงแรงจะช่วยให้คุณรู้สึกแย่ เมื่อคุณมีก็จะทำให้คุณใจเย็นลงได้มาก เช่นเดียวกับการฝึกโยคะกำหนดลมหายใจเข้าออกจะช่วยให้คุณมีสมาธิมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

 3.ฝึกควบคุมระบบประสาทให้ดียิ่งขึ้น

ขั้นตอนการฝึกระบบประสาทให้มีความคิดดี ปฏิบัติดีจากนั้นคุณจะใจเย็นได้มากยิ่งขึ้น ขั้นตอนก็คล้ายๆกับการเล่นโยคะ หรือการทำสมาธิอื่นๆ เมื่อระบบประสาทของคุณจดจ่ออยู่กับสิ่งต่างๆ ก็จะทำให้คุณมีความคิดที่ดีมากยิ่งขึ้นได้ หรืออาจจะให้ระบบประสาทของคุณทำงานคู่กับตัวอื่นหรือความคิดอื่นๆ

ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณกำลังมีความคิดที่ติดลบอยู่กาให้ระบบประสาทของคุณไปจดจ่อกับอะไรก็ตามที่จะทำให้ความคิดของคุณนั้นดีขึ้นยกตัวอย่างเช่นการดูอะไรที่มันสบายตารถคลายความเครียดลงเป็นต้น

 4.คิดอะไรให้บวกขึ้น

การมองอะไรหรือการเจอกับอะไรต่างๆที่เข้ามาในชีวิตของคุณคุณจำเป็นที่จะต้องคิดมันให้ดีมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าสมองของคุณจะสั่งการว่ามันเป็นเรื่องที่ลบก็ตาม แต่คุณก็จำเป็นที่จะต้องพยายามคิดบวก ลืมเรื่องร้ายๆ และผ่อนคลายกับทุกๆวันเมื่อคุณมีสติและสมาธิคุณจะมองอะไรเป็นบวกมากยิ่งขึ้น