ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับขั้วโลกเหนือ 

        เชื่อว่าสำหรับใครที่เคยเรียนเกี่ยวกับเรื่องของวิทยาศาสตร์จะรู้ว่าโลกของเรานั้นมีทั้งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้

  ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เองก็ได้มีการออกไปสำรวจทั้งขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้มาแล้วด้วยในบทความนี้เราจะมาพูดถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับขั้วโลกเหนือซึ่งใบคนนั้นอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อนว่าครูเหนือมีลักษณะเป็นแบบไหน 

       สำหรับโคกเหนือนั้นคุณรู้หรือไม่ว่าไม่เคยมีใครไปอาศัยอยู่ที่นั่นได้เลยส่วนใหญ่แล้วที่เคยเดินทางไปที่ขั้วโลกเหนือนั้นก็เดินทางไปเพี้ยงเพี้ยงการท่องเที่ยวเท่านั้นซึ่งในแต่ละปีนั้นมีคนจำนวนน้อยมากที่ตัดสินใจที่จะเดินทางไปเที่ยวขั้วโลกเหนือโดยประมาณการคนที่เดินทางไปที่ขั้วโลกเหนือซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวรวมถึงคนที่เข้าไปสำรวจเกี่ยวกับขั้วโลกเหนือนั้นมีเพียงแค่ไม่เกินปีละ 10 คนเท่านั้น

       อย่างไรก็ตามเรามาพูดถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานที่ที่เราเรียกกันว่าโคตรเหมือนกันซึ่งที่นี่เป็นสถานที่ที่มีน้ำแข็งปกคลุมไปทั่ว

แม้แต่ในมหาสมุทรเองก็ยังมีน้ำแข็งปกคลุมซึ่งแม้แต่เรือที่สามารถใช้ตัดถังน้ำแข็งก็ยังไม่สามารถที่จะตัดน้ำแข็งที่บริเวณขั้วโลกเหนือได้ดังนั้นนี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้คนไม่ค่อยเดินทางไปมากนักยกเว้นว่าจะมีช่วงระยะเวลาหนึ่งซึ่งเป็นช่วงที่น้ำแข็งค่อนข้างบางซึ่งจะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวนั้นเดินทางไปเที่ยวกันโดยที่ขั้วโลกเหนือนั้นจะมีการเปิดการเดินทางไปเที่ยวเพียงแค่ปีละ 5 ครั้งเท่านั้นเอง

         อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้คนไม่ค่อยสนใจเดินทางไปที่ขั้วโลกเหนือมากนักก็เพราะว่าอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้เพราะโลกเหนือนั้นไม่มีช่วงเวลาคุณจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่านะเวลาที่คุณอยู่ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาประมาณกี่โมง  นอกจากนี้อุปกรณ์อย่างเช่นเข็มทิศคุณก็จะไม่สามารถใช้งานได้  

         ที่สำคัญขั้วโลกเหนือไม่เหมาะกับการเข้าไปอยู่อาศัยเพื่อที่นั่นไม่มีน้ำดื่มให้คุณสามารถดื่มได้เลย 

เพราะถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นพื้นที่ที่มีความหนาวเย็นและมีน้ำของมหาสมุทรแต่มันก็เป็นน้ำแข็งดังนั้นเราจึงไม่สามารถที่จะกินน้ำแข็งหรือน้ำในมหาสมุทรได้ถึงแม้ว่าเราจะเจาะลงไปก็จะเจอกับความเค็มของน้ำในมหาสมุทรนั้นเองดังนั้นที่ขั้วโลกเหนือจึงเป็นสถานที่อีกหาน้ำยากพอๆกับการหาน้ำในทะเลทรายนั้นเอง 

           อย่างไรก็ตามเนื่องจากว่าตอนนี้ทั่วโลกกำลังเจอกับสภาวะโลกร้อนเส้นทางนักวิทยาศาสตร์เองก็เชื่อว่าในอีกไม่นานนี้ซึ่งอาจจะไม่เกิน 50 ปีข้างหน้านี้อาจจะมีคนเดินทางไปที่ขั้วโลกเหนือหรือเข้าไปสำรวจพื้นที่ในโครงเรื่องเหนือเพื่อทำการวิจัยกันเยอะมากขึ้นสาเหตุนั้นก็เพราะว่าความหนาวเย็นของขั้วโลกเหนือจะลดลง ซึ่งเป็นผลพวงมาจากภาวะโลกร้อนนั่นเอง 

 

 

สนับสนุนโดย    ufabet เว็บตรง

ความสัมพันธ์ในครอบครัว เหตุใดจึงสำคัญและจะสร้างได้อย่างไร

การหาจุดร่วม การประนีประนอมซึ่งกันและกัน และความเคารพถือเป็นสิ่งสำคัญในการมีความผูกพันในครอบครัวที่แน่นแฟ้น ชีวิตจะง่ายขึ้นมากเมื่อคุณมีครอบครัวที่คอยช่วยเหลือและคอยช่วยเหลือคุณตลอดทั้งเรื่องหนักและเรื่องบางเรื่อง ความสัมพันธ์ในครอบครัวมีความสำคัญต่อบุคคลในทุกช่วงของชีวิต

เมื่อชีวิตยากลำบากและเริ่มหลุดจากการควบคุมของคุณ คำพูดดีๆ ของแม่ คู่สมรส หรือพี่น้องของคุณจะทำให้จิตใจสงบลง และทำให้คุณมีพลังและความกล้าหาญที่จะดำเนินชีวิตต่อไป ในโพสต์นี้ เราจะพูดถึงความสำคัญของครอบครัว ลักษณะครอบครัว และวิธีสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับสมาชิกในครอบครัว

ครอบครัวประกอบด้วยผู้คนที่อาจเกี่ยวข้องกันผ่านทางลำดับวงศ์ตระกูลร่วมกัน และแบ่งปันความผูกพันทางอารมณ์และค่านิยมที่คล้ายคลึงกัน สมาชิกในครอบครัวสามารถมีความสัมพันธ์กันได้โดยการเกิด การแต่งงาน การรับบุตรบุญธรรม หรือการอุปถัมภ์

ครอบครัวใกล้ชิดของคุณได้แก่ พ่อแม่ พี่น้อง คู่สมรส และลูกๆ และครอบครัวขยายของคุณรวมถึงบุคคลที่คุณเกี่ยวข้องด้วย เช่น ปู่ย่าตายาย ลูกพี่ลูกน้อง ป้าและลุง หลานชาย หลานสาว เขย ครอบครัวเลี้ยง ฯลฯ

ครอบครัวมีขนาดแตกต่างกัน  (คู่รักและลูก) ข้อต่อ (คู่รัก ลูก ๆ หลาน) ผสมปนเป (คู่รัก ลูก ๆ และลูกจากการแต่งงานครั้งก่อน) ข้อดีและข้อเสียของการใช้ชีวิตในครอบครัวร่วม เหตุใดความสัมพันธ์ในครอบครัวจึงมีความสำคัญ ครอบครัวทำให้สมาชิกทุกคนรู้สึกปลอดภัยและเชื่อมโยงถึงกัน

มันทำให้เรารู้สึกสบายใจที่ได้มีคนอยู่เคียงข้างในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ซึ่งช่วยให้เราจัดการกับความเครียดได้ ครอบครัวช่วยให้เรารู้สึกปลอดภัย ได้รับการปกป้อง

เป็นที่ยอมรับ และเป็นที่รัก แม้ว่าเราจะมีข้อบกพร่องก็ตาม ครอบครัวเป็นหน่วยพื้นฐานที่สอนเด็กๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ เด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่มีสุขภาพดีจะสามารถสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีขึ้นเมื่ออยู่นอกบ้านได้ ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นสอนเราถึงวิธีสร้างความไว้วางใจในผู้อื่นเมื่อสมาชิกในครอบครัวแบ่งปันช่วงเวลาที่ดีและไม่ดีร่วมกัน

ความขัดแย้งในครอบครัวสอนให้เด็กๆ รู้จักวิธีแก้ไขปัญหาในอนาคตด้วยความเคารพ ด้วยการฝึกฝนศิลปะแห่งการแก้ไขข้อขัดแย้ง เด็กๆ จึงมั่นใจในการเผชิญกับปัญหาที่คล้ายกันในภายหลัง

ลักษณะของครอบครัวที่เข้มแข็งมีอะไรบ้าง จากการวิจัยพบว่า วัยรุ่น 56.8% อย่างล้นหลามมองว่าความผูกพันในครอบครัวมีคุณภาพดี โดย 34.6% ที่โดดเด่นเห็นว่ามีความผูกพันในครอบครัวที่ดีเยี่ยม ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองเป็นปัจจัยสำคัญในความเป็นอยู่ที่ดีของวัยรุ่น แต่ละครอบครัวมีความแตกต่างกัน

แต่ครอบครัวที่เข้มแข็งทุกครอบครัวก็มีคุณสมบัติที่เหมือนกันบางประการ บางส่วนอยู่ด้านล่าง มีการสื่อสารที่ดี ครอบครัวที่มีสุขภาพดีพูดคุยและรับฟังสมาชิกทุกคน โดยส่งเสริมให้ผู้ใหญ่และเด็กมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ แบ่งปันความคิดเห็น หรือพูดคุยเกี่ยวกับความคาดหวังและความผิดหวังของพวกเขา

เมื่อนึกถึงบทเรียนชีวิตที่ได้รับและรากฐานครอบครัวที่แข็งแกร่งที่พ่อแม่ของเขาวางไว้ Joshua Becker ผู้สร้างบล็อก Becoming Minimalist เล่าว่า “ทั้งพ่อและแม่ของฉันเก่งในเรื่องของประทานแห่งการสนทนา พวกเขาใช้ทั้งหูและปากในการสื่อสาร และตอนเย็นใช้เวลาในห้องนั่งเล่นพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตผ่านไปเร็วเกินไป”

แบ่งปันความรู้สึกร่วมกัน สมาชิกในครอบครัวมีความเชื่อร่วมกัน ดังนั้นจึงรู้สึกเชื่อมโยงถึงกัน ความรู้สึกคล้ายคลึงกันนี้ทำให้เกิดการยืนยันทางจิตวิทยา และคนๆ หนึ่งก็พึงพอใจที่ได้อยู่ร่วมกับคนที่มีความคิดเหมือนกัน ใช้เวลาร่วมกัน พวกเขาต้องทานอาหารร่วมกันอย่างน้อยหนึ่งมื้อทุกวัน

พวกเขาสนุกกับการเล่น ตั้งแคมป์ รับประทานอาหารนอกบ้าน หรือแค่คุยเรื่องการเมือง พวกเขามีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในชีวิตของกันและกันแต่รู้ว่าจะขีดเส้นไว้ที่ไหน พัฒนาความเข้ากันได้และสร้างความผูกพันอันแน่นแฟ้น

 

สนับสนุนโดย    ufabet เว็บตรง

ช๊อค ผล DNA น้องต่อ ตรงกับลุงแจ้ เพื่อนพ่อน้องนิ่ม 

ความคืบหน้าของคดีน้องต่อที่หายตัวไปจากบ้านอายุเพียง 8 เดือนและตอนนี้ก็ยังไม่ทราบว่าน้องต่อยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ทางด้านตำรวจก็ทำการสืบค้นและตรวจสอบอย่างละเอียดภายในบ้าน ของน้องต่อที่อาศัยอยู่กับแม่และพ่อของน้องต่อ ก็พบร่องรอย คราบเลือดบนหมอนที่นอน ถึงได้สอบสวนผู้เป็นแม่ของน้องต่อว่าทำไม

ถึงมีคราบเลือดติดอยู่บนหมอนเกิดเหตุอะไรขึ้น ทางด้านผู้เป็นแม่ก็บอกว่าน่าจะเป็นบาดแผลที่น้องล้มหรือเลือดกำเดาไหลตามประสาเด็กที่มีความซนไม่ได้มีการทำร้ายลูก

แต่อย่างใด ทางด้านพ่อของน้องต่อก็ให้การว่าไม่ได้ทำร้ายลูกเช่นกันรอยคาบเลือดน่าจะเป็นบาดแผลที่น้องล้มตามประสาวัยเด็ก จากคดีนี้ทำให้ตำรวจได้ทำหน้าที่กันเพิ่มมากขึ้นเพราะตอนนี้ผ่านมาหลายวันแล้วก็ยังไม่มีความคืบหน้าร่องลอยของน้องต่อ เพื่อนบ้านมีการให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าก่อนที่น้องต่อจะหายตัวไปนั้นทั้งคู่มีการทะเลาะกันตำรวจก็จึงพาไปสอบสวนเพิ่มเติม

และมีอีกคนหนึ่งซึ่งก็คือลุงแจ้ที่เคยให้สัมภาษณ์กรณีที่น้องต่อหายไป และลุงแจ้เป็นเพื่อนพ่อของน้องนิ่มหรือแม่ของน้องต่อซึ่งเท่าที่ทุกคนทราบแล้วนั้น

ลุงแจ้และน้องนิ่มเคยมีเพศสัมพันธ์กันเพราะลุงแจ้เป็นคนพูดเองกับเรื่องราวนี้ก็ทำให้ตำรวจจึงเกิดความสงสัย จึงพาลุงแจ้ไปตรวจ DNA พร้อมนำ DNA ของน้องต่อไปตรวจผลที่ทราบก็คือน้องต่อไม่ได้เป็นรูปของนายพุทธตั้งแต่แรกแต่เป็นลูกของลุงแจ้ผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์กับน้องนิ่มแม่ของน้องต่อ

ทำให้ทุกคนที่ตามข่าวอยู่นั้นกลับช็อคผล DNA ที่ออกมา เรื่องราวยิ่งบานปลายจากกรณีข่าวเด็กหายยืดเยื้อไปจนถึงข้อมูลการตรวจ DNA

แต่ตอนนี้ทุกคนเหมือนให้ความสนใจไปทางด้าน DNA มากกว่ากรณีที่น้องต่อหายตัวไป จึงอยากให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแยกการตรวจสอบรายละเอียดและค้นหาน้องต่อซึ่งเป็นเด็กที่ยังหายกลัวไปและยังไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดียังไงตอนนี้น้องหายไปได้ประมาณ 15 วันได้แล้ว

ให้โฟกัสน้องก่อนแล้วผลดีเอ็นเอค่อยตรวจซ้ำอีกครั้งหนึ่งก็ได้ ยังไงก็ตามทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะทำออกมาให้ดีที่สุดและจะจบคดีให้ได้โดยเร่งหาทุกพื้นที่ใกล้เคียงในการค้นหาเด็กต่อไป   ส่วนผล DNA  ทางด้านพุด พ่อน้องต่อก็ยังไม่เชื่อผลตรวจ อยากให้ทางเจ้าหน้าที่ทำการตรวจซ้ำผล DNA อีกครั้ง  ตอนนี้อยากให้ตามหาน้องต่อให้เจอก่อน  เรื่องอย่างอื่นค่อยมาทีหลัง

 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย    ทางเข้า gclub ใหม่

การประชุมสาธารณสุขออสเตรเลีย 2023

การประชุม Australian Public Health Conference 2023 จะจัดขึ้นที่โรงแรม Grand Chancellor Hobart ตั้งแต่วันอังคารที่ 26 ถึงวันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน 2023

การประชุมสาธารณสุขออสเตรเลียเป็นการประชุมระดับชาติที่จัดขึ้นโดยสมาคมสาธารณสุขแห่งออสเตรเลีย (PHAA) ซึ่งนำเสนอมุมมองระดับชาติและสหสาขาวิชาเกี่ยวกับประเด็นด้านสาธารณสุข สมาชิกของ PHAA และผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของ PHAA สามารถมีส่วนร่วมในการอภิปรายเกี่ยวกับประเด็นด้านสาธารณสุขในวงกว้าง

และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความรู้ และข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาล่าสุดในด้านสาธารณสุข การประชุมนี้ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในปี 1970 และเฉลิมฉลองปีที่ 45 ในปี 2018

หัวข้อการประชุมปี 2023 คือ: การลงทุนในระบบสาธารณสุขที่แข็งแกร่ง ชาญฉลาด และยั่งยืนสำหรับอนาคตการลงทุนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบสาธารณสุขเพื่อให้เป็นรากฐานที่สำคัญของระบบสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน

สำหรับทุกคนควรเป็นกุญแจสำคัญในการตอบสนองต่อโรคระบาด ในฐานะวิชาชีพ เราจำเป็นต้องเพิ่มความพยายามในการปรับพื้นฐานความเข้าใจของประชาชนและการประเมินคุณค่าของหลักฐานและการปฏิบัติด้านสาธารณสุข ขณะนี้เรามียุทธศาสตร์การป้องกันด้านสุขภาพแห่งชาติและความมุ่งมั่นในการจัดตั้งศูนย์ควบคุมโรคแห่งออสเตรเลีย

อย่างไรก็ตาม การขาดการจัดสรรทรัพยากรที่ชัดเจนเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการป้องกันกับกลยุทธ์การควบคุมและการตอบสนองเหตุฉุกเฉิน

ทั้งสำหรับโรคติดต่อและไม่ติดต่อเป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ถึงเวลาพิจารณาว่าอะไรคือระบบสาธารณสุขที่มีมูลค่าสูง เราจะเปิดการสนทนานี้โดยรวบรวมนักวิจัย ผู้ปฏิบัติงาน ผู้กำหนดนโยบาย นักเรียน และสมาชิกชุมชนที่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ซึ่งได้แรงหนุนจากหลักฐานและประสบการณ์

เราขอแนะนำให้คุณล็อกวันที่ในสมุดบันทึกของคุณเพื่อเข้าร่วมการประชุม Australian Public Health Conference 2023 เราจะจัดรูปแบบการประชุมแบบดั้งเดิมสามวันให้คุณ ซึ่งรวมถึงเซสชันสดครบองค์และเซสชันพร้อมกัน ผู้แทนจะสามารถเข้าร่วมฟังก์ชั่นเครือข่ายและบูธนิทรรศการที่ตั้งอยู่ในสถานที่

นอกจากส่วนประกอบแบบเห็นหน้ากันแล้ว คุณยังสามารถเข้าถึงฮับสมบูรณ์ได้อีกด้วย การลงทะเบียน Plenary Hub ประสบการณ์การประชุมเสมือนจริงแบบใหม่ของสมาคมสาธารณสุขแห่งออสเตรเลีย ‘Plenary Hub’ จะเข้ามาแทนที่การประชุมแบบผสมผสานก่อนหน้านี้

ประสบการณ์ Plenary Hub จะรวมถึงสิ่งต่อไปนี้ สตรีมสดเซสชั่นที่สมบูรณ์ คำถามที่เขียนถึงวิทยากรหลักผ่านฟังก์ชั่นถามตอบสด

การบันทึกเซสชันทั้งหมดพร้อมให้บริการตามต้องการเป็นเวลา 3 เดือนหลังการประชุม ฮับผู้รับมอบสิทธิ์ (ความสามารถในการเชื่อมต่อกับผู้รับมอบสิทธิ์รายอื่น) ข้อมูลผู้สนับสนุนและผู้แสดงสินค้า ประสบการณ์ Plenary Hub จะไม่รวมถึง เซสชันพร้อมกันที่บันทึกหรือถ่ายทอดสด ปฏิสัมพันธ์ของผู้สนับสนุนและผู้แสดงสินค้า เซสชันเครือข่ายเสมือน หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือลงทะเบียน โปรดคลิกที่นี่

สำหรับการประชุมในปีนี้ เราสนับสนุนการนำเสนอที่ขยายความสำคัญไปที่การเสริมสร้างระบบสาธารณสุขของเรา เราต้องการหลีกเลี่ยงการโอนเงินทุนออกจากสาธารณสุขซึ่งจะเสี่ยงต่อการกลับไปสู่ภาวะอิ่มเอมใจก่อนเกิดโรคระบาด เรารู้ว่าเราต้องยอมรับความซับซ้อนได้ดีขึ้น นำการเปลี่ยนแปลงไปใช้ สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และประเมินสิ่งที่เราทำได้ดีขึ้น

เพื่อให้เราสามารถแบ่งปันคุณค่าของกิจกรรมด้านสาธารณสุขได้ สิ่งสำคัญคือเราต้องการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการผลักดันการลงทุนอย่างต่อเนื่องในหน้าที่ด้านสาธารณสุขที่จำเป็นซึ่งจัดการกับความท้าทายด้านสาธารณสุขที่สำคัญ หากไม่มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับปัจจัยกำหนดสุขภาพและการลงทุนในกิจกรรมป้องกัน

ความไม่เท่าเทียมจะขยายวงกว้างขึ้นอย่างมาก โอกาสในการสนับสนุนและการจัดนิทรรศการ – เปิดแล้ว การสนับสนุนและ/หรือการจัดนิทรรศการในการประชุม Australian Public Health Conference 2023 เปิดโอกาสให้องค์กรของคุณมีส่วนร่วมในการประชุมที่สำคัญเพื่อเน้นความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับสาธารณสุขในออสเตรเลียและภูมิภาค

 

สนับสนุนโดย    ufabet

เราควรมีบ้านตอนอายุเท่าไหร่

เรามักรู้กันดีอยู่แล้วว่าทุกคนจะต้องมีบ้านแต่ความเชื่อเหล่านี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดเพราะว่าการมีบ้านนั้นมันต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบหลายอย่างไม่จำเป็นว่าทุกคนจะต้องมีบ้านเสมอไปคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการอยากมีบ้านคุณลองมององค์ประกอบต่างๆเหล่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจง่ายยิ่งขึ้นหรือสำหรับใครที่ยังไม่คิดจะซื้อบ้านก็ลองเอาบทความเหล่านี้ไปตัดสินดูว่าจริงๆแล้วคุณควรมีบ้านหรือไม่

บ้านถือได้ว่าเป็นหนี้ระยะยาวซึ่งองค์ประกอบต่างๆจะรวมไปด้วยดอกเบี้ยการผ่อนชำระถึงแม้ว่ามันเป็นทรัพย์สินของตัวคุณเองก็ตามแต่คุณจำเป็นที่จะต้องมีวินัยในการส่งบ้านเหล่านั้นเพราะใช้ระยะเวลาประมาณ 30 ปีด้วยกันนั่นเท่ากับว่าบางคนถือว่าเป็นระยะเวลายาวนานเลยนะ

องค์ประกอบในการตัดสินใจที่จะซื้อบ้านควรประกอบไปด้วย

1.การใช้เวลาในการผ่อน

เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าบ้านจะต้องใช้ระยะเวลาในการผ่อนที่ค่อนข้างยาวนานบางคน 20 ปีหรือบางคน 30 ปีขึ้นอยู่กับระยะเวลาของผู้กู้ณตอนนั้นและจำนวนเงินในการกู้ด้วย องค์ประกอบต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญในการกู้ซื้อบ้านด้วยกันทั้งสิ้น

เพราะคุณต้องมานั่งคำนวณว่าคุณจะต้องส่งอย่างนี้ทุกทุกเดือนเป็นระยะเวลา 20 ถึง 30 ปีคุณจะไหวหรือไม่แล้วถ้าหากคุณต้องการโปะให้มันระยะเวลาในการผ่อนที่เร็วขึ้นคุณจะต้องใช้เงินมาโปะเท่าไหร่

 

2.ผ่อนหมดมีบ้านเป็นของตัวเอง

นี่เป็นแรงจูงใจแบบนึงในการซื้อบ้านเพราะว่าถ้าเกิดคุณซื้อบ้านคุณก็จะได้บ้านเป็นของตัวเองแต่นั่นต้องมองด้วยว่าบ้านหลังนั้นสำคัญกับคุณไหมถ้าหากคุณจำเป็นที่จะต้องเช่าบ้านแล้วจ่ายค่าเช่าเรื่อยเรื่อยการซื้อบ้านก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเพราะว่าเท่ากับว่าคุณได้ส่งเท่ากับช่าบ้านหลังหนึ่งเหมือนกัน

แต่ถ้าหากว่าคุณไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อบ้านหรือไม่ได้เช่าบ้านอยู่อาจจะลองมองดูสักนิดว่าการซื้อบ้านนี้เผื่อประโยชน์อะไรถ้าหากเป็นของตัวเองหรือเอาไปเก่งกำไรก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย

 

3.การซื้อบ้านทำให้คุณมีวินัยมากยิ่งขึ้น

แน่นอนอยู่แล้วว่าการซื้อบ้านเพิ่มวินัยให้เกียรติคุณมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่ต้องการเงินเก็บในทุกๆเดือนจะแปลออกมาเป็นทรัพย์สินดังนั้นการส่งบ้านในทุกๆเดือนของคุณมันจะเป็นการสร้างวินัยอย่างนึงให้แก่คุณ ผลตอบแทนเมื่อถึงระยะเวลาคุณก็จะได้บ้านหลังหนึ่งมาด้วยเช่นกัน

การสร้างวินัยนี้เป็นการสร้างวินัยระยะยาวซึ่งมันจะทำให้คุณมีวินัยต่อๆไปได้จริงเพราะว่าการมีวินัยส่งในทุกๆเดือน เป็นวินัยในการเก็บเงินอย่างหนึ่ง และวินัยอื่นๆของคุณก็จะตามมาด้วยเช่นกัน

 

สนับสนุนโดย    Ufabet เข้าสู่ระบบ

เปลี่ยนความคิดติดลบ ให้เป็นบวก เปลี่ยนให้คุณเป็นคนใหม่คิดบวกขึ้น

เรามักจะมีวิธีคิดที่ติดลบในสถานการณ์ที่เรามักจะเจอในทุกวัน โดยความติดลบนี้จะสะสมทำให้เรารู้สึกเครียด แย่กับตัวเอง และคนอื่นๆ การที่เราเจออะไรแย่ๆมา แล้วเจอคนทำอะไรแย่ๆใส่ ก็อาจจะทำให้เรานั้นคิดลบได้เร็วขึ้น ทำให้เราจมดิ่งลงไปลึกๆในความรู้สึก

ถ้าหากคุณเป็นคนที่คิดติดลบเช่นนี้ วันนี้เรามีวิธีที่จะเปลี่ยนความรู้สึกติดลบให้เป็นบวก นั้นจะทำให้คุณเปลี่ยนเป็นคนใหม่ได้ไม่ยาก เราลองไปดูกันว่าคุณจะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่ จะกลายมาเป็นคนคิดบวกได้ไหม

 

1.ตั้งสติ

เมื่อไหร่ที่คุณเริ่มรู้สึกติดลบกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราขอแนะนำให้ตั้งสติให้มากๆ ลดความรู้สึกเหล่านั้นลง อาจจะทำไม่ได้ทันที ถ้าคุณโกรธอยู่ก็ลองหาอะไรทำให้ลืม หรือดื่มน้ำให้ใจเย็นลง แล้วสติจะเริ่มมาเอง จากนั้นก็จะรู้สาเหตุหรือสิ่งที่ทำให้คุณหงุดหงิดและคุณจะใจเย็นลง

แล้วจะส่งผลให้คุณคิดบวกขึ้นมาได้ ลองตั้งสติกับทุกเรื่องที่เจอดู หากครั้งแรกๆยังทำไม่ได้  gclub สล็อตฟรี   ก็ลองค่อยๆทำไปเรื่อยๆ ใจเย็นๆ ไม่มีใครที่จะทำได้ทันทีมันจะต้องใช้การฝึกฝนดู เมื่อทำได้แล้วครั้งต่อๆไปก็จะมีสติและใจเย็นคิดบวกได้เอง

2.ลองหายใจลึกๆดู

เวลาที่เราทำสมาธิด้วยการหายใจลึกๆ ฝึกหายใจจะช่วยในเรื่องของการผ่อนคลาย ได้ดีมากยิ่งขึ้น การหายใจสูดหายใจเข้าอย่างแรงและออกแรงแรงจะช่วยให้คุณรู้สึกแย่ เมื่อคุณมีก็จะทำให้คุณใจเย็นลงได้มาก เช่นเดียวกับการฝึกโยคะกำหนดลมหายใจเข้าออกจะช่วยให้คุณมีสมาธิมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

 3.ฝึกควบคุมระบบประสาทให้ดียิ่งขึ้น

ขั้นตอนการฝึกระบบประสาทให้มีความคิดดี ปฏิบัติดีจากนั้นคุณจะใจเย็นได้มากยิ่งขึ้น ขั้นตอนก็คล้ายๆกับการเล่นโยคะ หรือการทำสมาธิอื่นๆ เมื่อระบบประสาทของคุณจดจ่ออยู่กับสิ่งต่างๆ ก็จะทำให้คุณมีความคิดที่ดีมากยิ่งขึ้นได้ หรืออาจจะให้ระบบประสาทของคุณทำงานคู่กับตัวอื่นหรือความคิดอื่นๆ

ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณกำลังมีความคิดที่ติดลบอยู่กาให้ระบบประสาทของคุณไปจดจ่อกับอะไรก็ตามที่จะทำให้ความคิดของคุณนั้นดีขึ้นยกตัวอย่างเช่นการดูอะไรที่มันสบายตารถคลายความเครียดลงเป็นต้น

 4.คิดอะไรให้บวกขึ้น

การมองอะไรหรือการเจอกับอะไรต่างๆที่เข้ามาในชีวิตของคุณคุณจำเป็นที่จะต้องคิดมันให้ดีมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าสมองของคุณจะสั่งการว่ามันเป็นเรื่องที่ลบก็ตาม แต่คุณก็จำเป็นที่จะต้องพยายามคิดบวก ลืมเรื่องร้ายๆ และผ่อนคลายกับทุกๆวันเมื่อคุณมีสติและสมาธิคุณจะมองอะไรเป็นบวกมากยิ่งขึ้น

นิสัยของคนที่เราคบไม่ได้ ควรอยู่ให้ห่าง

การตัดสินใจว่าควรที่จะอยู่ใกล้หรือห่างจากคนที่คุณไม่สามารถคบได้นั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความสบายของคุณเอง ต่อไปนี้คือบางปัจจัยที่คุณอาจต้องพิจารณา

1.เหตุผลที่คุณคบไม่ได้: ควรพิจารณาว่าทำไมคุณไม่สามารถคบกับคนนั้นได้ มีปัญหาหรือข้อผิดพลาดในการสื่อสารหรือความเข้าใจกันหรือไม่ หรือว่ามีปัญหาเฉพาะบุคคลที่ทำให้ความสัมพันธ์ไม่สมบูรณ์

2.สุขภาพจิต: ควรพิจารณาถึงสุขภาพจิตของคุณเอง การอยู่ใกล้กับคนที่ทำให้คุณรู้สึกแย่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของคุณได้

3.การทำงานกับคนนั้น: ถ้าความสัมพันธ์นั้นเกี่ยวข้องกับงานหรือกิจกรรมที่คุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ คุณอาจต้องพิจารณาว่าควรที่จะดำเนินต่อหรือไม่

4.การหาทางแก้ไข: มีบางครั้งที่ปัญหาสามารถแก้ไขได้ โดยการเรียนรู้การสื่อสาร การเข้าใจกันมากขึ้นหรือการทำงานร่วมกันเพื่อแก้ปัญหา

5.ความสุขของคุณเอง: ควรพิจารณาถึงความสุขของคุณเอง ถ้าการอยู่ใกล้กับคนนั้นทำให้คุณรู้สึกไม่ดีและไม่มีประโยชน์ต่อชีวิตของคุณ อาจจะเป็นไปได้ที่ควรที่จะห่างกัน

การตัดสินใจด้านนี้มีผลต่อคุณเอง ควรพิจารณาอย่างละเอียดและรองรับความตั้งใจของคุณในการตัดสินใจนี้ที่ดีที่สุดสำหรับความสุขและความเจริญของคุณเอง

คนนิสัยอย่างไร ที่เราไม่ควรคบเลย

การตัดสินใจว่าควรคบหรือไม่คบคนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่บางครั้งควรระวังคนที่มีนิสัยที่อาจเป็นอันตรายหรือไม่เหมาะสมกับความสุขและความเจริญของเรา นี่คือบางลักษณะของนิสัยที่ควรระวัง

1.Negativity (ลบล้าง): คนที่มีความลบล้างมักจะกระทบต่อการมีสมาธิและความเครียดที่สูงขึ้น. การอยู่ใกล้คนที่มองโลกในแง่ลบอาจส่งผลต่อทัศนคติของเรา

2.Dishonesty (ไม่ซื่อสัตย์): ความซื่อสัตย์เป็นพื้นฐานที่สำคัญในความสัมพันธ์. คนที่ไม่ซื่อสัตย์อาจสร้างปัญหาและไม่ไว้ใจได้

3.Manipulative (จูงใจ): คนที่ใช้การจูงใจหรือก่อกวนเพื่อทำให้คนอื่นทำตามต้องการของเขาอาจสร้างความเครียดและความไม่สบายใจ

4.Selfishness (โอ้อวด): คนที่เอาเปรียบตนเองมากเกินไปและไม่ให้ความร่วมมือหรือความเข้าใจกับคนอื่น

5.Lack of Empathy (ขาดความเห็นใจ): คนที่ไม่สามารถเข้าใจหรือรู้ถึงความรู้สึกของคนอื่น

6.Constant Drama (ความยุ่งเหยิง): คนที่มีแนวโน้มที่จะสร้างความยุ่งเหยิงและปัญหาทั้งนอกและในทางส่วนตัว

7.Lack of Ambition (ขาดความทะเยอทะยาน): คนที่ไม่มีความทะเยอทะยานหรือไม่มีเป้าหมายชีวิต

8.Constant Criticism (การวิจารณ์ตลอดเวลา): คนที่ไม่มีการยอมรับหรือทำงานร่วมกันแต่ต้องการวิจารณ์ตลอดเวลา

9.Lack of Respect (ขาดความเคารพ): คนที่ไม่เคารพผู้อื่นหรือไม่สำรวจความรู้สึกของผู้อื่น

10.Toxic Behavior (พฤติกรรมที่เป็นพิษ): คนที่มีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อความสุขและความสมดุลของความสัมพันธ์

การเลือกเพื่อนหรือคนในความสัมพันธ์ควรพิจารณาลักษณะเหล่านี้เพื่อประโยชน์ของความสุขและความเจริญของทั้งสองฝ่าย

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย    gclub ฝาก-ถอน

เกาหลีเหนือจัดประชุมเกี่ยวกับการทำฟาร์มที่หายากท่ามกลางปัญหาการขาดแคลนอาหาร

คิมจองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือเปิดการประชุมทางการเมืองครั้งสำคัญเพื่อการเกษตร สื่อของรัฐรายงานเมื่อวันจันทร์ ท่ามกลางการประเมินจากภายนอกที่บ่งชี้ว่าประเทศกำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง ผู้เชี่ยวชาญของเกาหลีใต้ประเมินว่า เกาหลีเหนือขาดแคลนธัญพืชประมาณ 1 ล้านตัน หรือคิดเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการต่อปี

หลังจากการระบาดทำให้ทั้งเกษตรกรรมและการนำเข้าจากจีนต้องหยุดชะงัก รายงานล่าสุดที่ไม่ได้รับการยืนยันระบุว่าชาวเกาหลีเหนือจำนวนหนึ่งเสียชีวิต

จากความอดอยาก แต่ผู้สังเกตการณ์ไม่เห็นสิ่งบ่งชี้ถึงการเสียชีวิตจำนวนมากหรือการอดอยากในเกาหลีเหนือ ในระหว่างการประชุมระดับสูงของพรรคแรงงานที่เริ่มขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคได้ทบทวนงานปีที่แล้วเกี่ยวกับเป้าหมายของรัฐเพื่อบรรลุ “การปฏิวัติชนบทในยุคใหม่” สำนักข่าวกลางของทางการรายงาน

รายงานกล่าวว่าการประชุมของคณะกรรมการกลางของพรรคจะระบุงาน “สำคัญในทันที” ในประเด็นการเกษตรและ “งานเร่งด่วนที่เกิดขึ้นในขั้นตอนปัจจุบันของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ” การประชุมครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พรรคมีการประชุมใหญ่เพื่อหารือเกี่ยวกับการเกษตรเท่านั้น ร

ายงานของวันจันทร์ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับวาระการประชุม แต่ Politburo ของพรรคกล่าวเมื่อต้นเดือนนี้ว่า “จำเป็นต้องมีจุดเปลี่ยนเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนในการพัฒนาการเกษตร”

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ สถานการณ์ด้านอาหารของเกาหลีเหนือในปัจจุบันไม่ได้ใกล้เคียงกับจุดสูงสุดในช่วงปี 1990 ที่ผู้คนหลายแสนคนเสียชีวิต

จากความอดอยาก อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่า ความไม่มั่นคงทางอาหารของประเทศมีแนวโน้มเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่คิมขึ้นครองอำนาจในปี 2554 หลังจากข้อจำกัดเกี่ยวกับโควิด-19 ยิ่งทำให้เศรษฐกิจตกตะลึงจากการจัดการที่ผิดพลาดมานานหลายทศวรรษ และการคว่ำบาตรที่นำโดยสหรัฐฯ ที่บังคับใช้กับโครงการนิวเคลียร์ของคิม

ในช่วงต้นปี 2020 เกาหลีเหนือพยายามปกป้องประชากรของตนจากไวรัสโคโรนาด้วยการกำหนดมาตรการควบคุมพรมแดนที่เข้มงวด ซึ่งขัดขวางการค้ากับจีน ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักและเส้นชีวิตทางเศรษฐกิจ สงครามของรัสเซียกับยูเครนอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงโดยทำให้ราคาอาหาร พลังงาน

และปุ๋ยในตลาดโลกสูงขึ้น ซึ่งผลผลิตทางการเกษตรของเกาหลีเหนือต้องพึ่งพาอย่างมาก เกาหลีเหนือเปิดการจราจรรถไฟบรรทุกสินค้าอีกครั้งกับจีนและรัสเซียเมื่อปีที่แล้ว มากกว่า 90% ของการค้าภายนอกอย่างเป็นทางการของเกาหลีเหนือผ่านพรมแดนที่ติดกับจีน

ปีที่แล้ว ผลผลิตธัญพืชของเกาหลีเหนืออยู่ที่ประมาณ 4.5 ล้านตัน ลดลง 3.8% จากปี 2020 ตามการประเมินของรัฐบาลเกาหลีใต้ เกาหลีเหนือคาดว่าจะผลิตธัญพืชระหว่าง 4.4 ล้านตันถึง 4.8 ล้านตันต่อปีตั้งแต่ปี 2555-2564 ตามข้อมูลของเกาหลีใต้ก่อนหน้านี้ เกาหลีเหนือต้องการธัญพืชประมาณ 5.5 ล้านตั

เพื่อเลี้ยงประชากร 25 ล้านคนต่อปี ดังนั้นปีนี้จึงขาดแคลนเพียง 1 ล้านตัน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ครึ่งหนึ่งของช่องว่างดังกล่าวมักเกิดจากการซื้อธัญพืชอย่างไม่เป็นทางการจากจีน ส่วนส่วนที่เหลือยังคงเป็นปัญหาการขาดแคลนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ตามคำกล่าวของ Kwon Tae jin นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของสถาบัน GS&J เอกชนในเกาหลีใต้

 

สนับสนุนโดย    สล็อต ufabet เว็บตรง

ผลผลิตจากวัฒนธรรม

หนึ่งในข้อโต้แย้งที่เกิดซ้ำๆ เกี่ยวกับนโยบายวัฒนธรรมของเกาหลีเกี่ยวข้องกับระดับความรุนแรงที่รัฐเข้าแทรกแซงในการกำหนดนโยบายวัฒนธรรม Lee นิยามนโยบายวัฒนธรรมของเกาหลีว่าเป็นผลผลิตของ ‘รัฐอุปถัมภ์ใหม่’ ในขณะที่ Chung ตอบโต้มุมมองนี้

โดยอ้างว่าควรถูกมองว่าเป็นผลผลิตของ รัฐพัฒนาใหม่แม้ว่าผู้เขียนทั้งสองเห็นพ้องต้องกันว่ารัฐมีอำนาจเหนือในด้านวัฒนธรรม แต่พวกเขาก็ลงเอยด้วยกรอบการวิเคราะห์ที่แตกต่างกัน ต้องยอมรับว่าประชาธิปไตยและเศรษฐกิจการตลาดเป็นองค์ประกอบหลักในการพัฒนานโยบายวัฒนธรรมในเกาหลี Lee ให้เหตุผลว่าองค์ประกอบทั้งสองนี้ทำงานใน

การเคลื่อนไหวคู่ขนานเพื่อขับเคลื่อนรัฐผู้อุปถัมภ์ สังเกตว่ารัฐเป็นผู้มีอำนาจหลักในการตีความความหมายของประชาธิปไตยในนโยบายวัฒนธรรม และมีบทบาทสำคัญในการปรับสภาพเศรษฐกิจตลาดของวัฒนธรรม เธออ้างว่าไม่เพียงพอที่จะติดป้ายสถานะว่า กำลังพัฒนาเธอให้เหตุผลว่าการใช้ลัทธิพัฒนาการตามมูลค่าจะประเมินการมาถึงของประชาธิปไตย

และผลกระทบของมันต่ำเกินไป รูปแบบรัฐอุปถัมภ์ใหม่บ่งบอกเป็นนัยว่านโยบายวัฒนธรรมของเกาหลีเป็นเหมือนโครงการรัฐมากกว่า โดยมีความคล้ายคลึงกับรูปแบบรัฐอุปถัมภ์ในรูปแบบสถาบันและรูปแบบการปฏิบัติ แต่ก็แตกต่างกันตรงที่ไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเงินทุนเนื่องจากการเมืองของพรรค . อีกนัยหนึ่ง

ชุงอ้างว่านโยบายวัฒนธรรมของเกาหลีอยู่บนพื้นฐานของสถิตินิยมโดยเน้นที่ระบบราชการเป็นแรงผลักดัน สำหรับเขา ในขณะที่การเป็นประชาธิปไตยเป็นหลักการสำคัญ กระบวนการทั้งหมดของการกำหนดนโยบายอุตสาหกรรมวัฒนธรรมในเกาหลีเป็นไปตามแบบแผนของนโยบายอุตสาหกรรมเพื่อการพัฒนา ซึ่งเป็นกรณีตัวอย่างของนโยบายสถิติ

ล่าสุดสำรวจพลวัตของรัฐและวัฒนธรรมและผลกระทบต่อการปฏิบัติทางวัฒนธรรมบางสาขาอย่างไร เอกสารของ Chang และ Lee ตรวจสอบความแปลกประหลาดของระบบที่ไม่แสวงหาผลกำไรในภาคศิลปะการแสดง ด้วยการเพิ่มขึ้นของการจัดการภาครัฐแบบใหม่ สถาบันที่ไม่แสวงหาผลกำไรในด้านศิลปะและวัฒนธรรมจึงเฟื่องฟู

และองค์กรสาธารณะทางวัฒนธรรมหลายแห่งได้เปลี่ยนสถานะทางกฎหมายเป็นหน่วยงานที่ไม่แสวงหาผลกำไร อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนไปสู่ระบบที่ไม่แสวงหาผลกำไรนี้มีรูปแบบที่แตกต่างจากรูปแบบที่เป็นแรงบันดาลใจ นั่นคือรูปแบบที่พัฒนาขึ้นในสหรัฐอเมริกา ลักษณะทางสถิติของนโยบายวัฒนธรรม

ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นการเชิดชูชาติ การพึ่งพาทรัพยากร และ  gclub ฟรี 100   การพึ่งพาเส้นทาง ทำให้เกิดตัวแปรที่แตกต่างกัน พวกเขายังชี้ให้เห็นว่าการเลียนแบบรูปแบบสถาบันจะไม่รับประกันผลลัพธ์ที่เหมือนกัน เนื่องจากประเพณีและความเฉพาะเจาะจงของแต่ละสังคมแตกต่างกัน มีการหยิบยกข้อโต้แย้งที่คล้ายกันนี้ในบทความของ Park และ Kim เกี่ยวกับนโยบายของพิพิธภัณฑ์

บทความนี้ใช้แนวทางทางประวัติศาสตร์และตรวจสอบว่าระบอบประชาธิปไตยทางการเมืองปูทางไปสู่นโยบายพิพิธภัณฑ์สองแนวทางที่แตกต่างกันอย่างไร แทนที่จะกำหนดบทบาทของพิพิธภัณฑ์ให้เป็นพื้นที่สำหรับการอภิปรายสาธารณะเกี่ยวกับความทรงจำทางประวัติศาสตร์ บทบาทของพิพิธภัณฑ์กลับถูกลดบทบาทลงเหลือเพียงการเชิดชูรัฐหรือวาระเสรีนิยมใหม่

ในการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชม บทความล่าสุดโดยคิมและคิมตรวจสอบกรณีของโครงการนโยบายรัฐเป็นศูนย์กลางในระดับท้องถิ่น การศึกษานี้หยิบยกประเด็นการปฏิบัติและการดำเนินการในการริเริ่มของรัฐในการพัฒนาชุมชนที่นำโดยวัฒนธรรม

สถิติประชากร

แม้ว่าเกาหลีจะยอมรับการหลั่งไหลของชาวต่างชาติตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 แต่ปี 2006 ก็เป็นก้าวสำคัญในการเริ่มมองหาความหลากหลายทางวัฒนธรรมในเกาหลี เหตุผลก็คือเป็นปีที่ Roh Moo-hyun อดีตประธานาธิบดีของเกาหลีกล่าวอย่างเป็นทางการว่า “แนวโน้มสู่สังคมพหุวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ไม่อาจต้านทานได้” (Kim, 2019, p.1070) ในปี 2549

สถิติประชากร ประชากรต่างชาติในประเทศมีจำนวน 910,149 คน และเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านคนเป็นครั้งแรกในปีถัดมา คิดเป็น 1,066,291 คนในปี 2550 (Yoon, Song, & Bae, 2007 p.325)

 

12 ปีต่อมา จำนวนประชากรต่างชาติทำคะแนนสูงสุดใหม่ โดยแตะ 2.5 ล้านคนในช่วงเวลานั้น จำนวนผู้อพยพที่อาศัยอยู่ในเกาหลีในปี 2019 มีจำนวน 2,524,656 คน เพิ่มขึ้น 6.6% จากปีก่อนหน้า

ตัวเลขดังกล่าวถือเป็น 4.9% ของประชากรสุทธิ 51.64 คนของประเทศในปี 2561 (สำนักข่าวยอนฮับ, 2563) แม้ว่าตัวเลขของชาวต่างชาติที่พำนักในเกาหลีจะลดลงในปีต่อมาเนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19

โดยเริ่มจาก 2.42 ล้านคนในเดือนมกราคม 2020 เป็น 1.99 ล้านคนในเดือนเมษายน 2021 (ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเป็น “จำนวนที่ต่ำที่สุดในรอบ 50 เดือน” ) (Kim, 2021)

คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวเมื่อสถานการณ์กลับสู่ปกติ และสัดส่วนของชาวต่างชาติอาจอยู่ที่ 9.2 ในปี 2593 (Song, 2007 อ้างใน Yoon, Song, & Bae, 2007 p.326)

 

ในทำนองเดียวกัน ในปี 2019 ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของครัวเรือนหลากหลายวัฒนธรรมมีจำนวน 350,000 ครัวเรือน ซึ่งคิดเป็น 1.7 % ของครัวเรือนทั้งหมดในปีเดียวกัน และเกินดุล 20,000 ครัวเรือนจากผลรวมของปี 2018 (สถิติเกาหลี 2020) จำนวนครัวเรือนข้ามวัฒนธรรมที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากจำนวนการแต่งงานของผู้อพยพทั้งหมด 24,721 รายในปีนั้น ซึ่งเพิ่มขึ้น 4.0 % จากปีก่อนหน้า (สถิติเกาหลี, 2020)

ความก้าวหน้าและการอภิปรายเกี่ยวกับวัฒนธรรมหลากหลายในเกาหลี สถิติบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงจำนวนผู้อพยพอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ซึ่งกลายเป็นความท้าทายของสังคมและผู้มีอำนาจ รัฐบาลเกาหลีมีบทบาทอย่างแข็งขันในการส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรมและสร้างความตระหนักถึงคุณค่าของวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน

ในระดับสากล เกาหลีเริ่มเส้นทางสู่ความหลากหลายทางวัฒนธรรมไม่นานมานี้ ในปี 2010 เกาหลีได้ให้สัตยาบันเป็นประเทศที่ 110 ของอนุสัญญา UNESCO ว่าด้วย

การคุ้มครองและส่งเสริมความหลากหลายของการแสดงออกทางวัฒนธรรม (UNESCO, n.d.) นอกจากนี้ ในปี 2560 เกาหลีได้เข้าเป็นสมาชิกของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมในการประชุมภาคีอนุสัญญายูเนสโกครั้งที่ 6

ว่าด้วยการคุ้มครองและส่งเสริมความหลากหลายทางการแสดงออกทางวัฒนธรรม และมีส่วนร่วมในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องนี้ (UNESCO, n.d. ).

ในบริบทภายใน รัฐบาลเกาหลีได้บังคับใช้ชุดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้อพยพและเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรม เนื่องจากอดีตประธานาธิบดี Roh ได้กล่าวถึงแนวโน้มของความหลากหลายทางวัฒนธรรมในเกาหลี บางส่วนรวมถึงพระราชบัญญัติการปฏิบัติต่อชาวต่างชาติในเกาหลี (พ.ศ. 2550) โดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อช่วยให้ผู้อพยพสามารถอยู่

ร่วมกันในสังคมได้ แผนพื้นฐานสำหรับนโยบายการย้ายถิ่นฐานซึ่งมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างการสนับสนุนครอบครัวหลากหลายวัฒนธรรมและกำลังแรงงานของชาติในขณะที่ปกป้อง สิทธิมนุษยชนสำหรับผู้มาใหม่ และพระราชบัญญัติการสนับสนุนครอบครัวหลากหลายวัฒนธรรมที่วางพื้นฐานของ แผนพื้นฐานสำหรับนโยบายครอบครัวหลากหลายวัฒนธรรม‘ (ชิม, 2013, หน้า 11)

นโยบายเหล่านี้ในช่วงกลางทศวรรษที่ 2000 มักจะถูกโต้แย้งว่าไม่ได้ปกป้องอัตลักษณ์และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวต่างชาติอย่างแท้จริง ดังที่ Yoon In-jin (2007 อ้างถึงใน Shim, 2013, p.14) ให้เหตุผลว่า

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย   UFABET เว็บหลัก